วิธีการทอผ้าปูที่นอน

เมื่อเราทราบคุณสมบัติของผ้าชนิดต่างๆที่นำมาผลิตผ้าปูที่นอนแล้ว ก็ต้องไปพิจารณากันถึงวิธีการทอซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 2 แบบคะ คือ

ทอแบบลายขัด (Plain) เนื้อผ้าที่ได้จาการทอแบบนี้จะไม่ขึ้นเงาแต่จะมีเนื้อแน่น  ผ้าจึงมีเนื้อสัมผัสที่แข็ง แต่ผ้าชนิดนี้จึงมีความแข็งแรงทนทาน มีอายุการใช้งานนาน

ทอแบบขึ้นเงา (Satin/Sateen) เนื้อผ้าที่ได้จะขึ้นเงา การทอแบบนี้ทำให้เส้นด้ายมีเนื้อที่ในการตกกระทบของแสงมากกว่าแบบแรก จึงทำให้เห็นว่าผ้าขึ้นเป็นเงา  การทอแบบนี้จะทำให้เนื้อผ้านุ่ม ลื่น แต่มีอายุการใช้งานสั้นและไม่คงทน เนื่องจากเส้นด้ายมีเนื้อที่มากขึ้นในการกระทบกับแสง จึงทำให้ในการซัก ทำความสะอาด เส้นด้ายจะสัมผัสกับน้ำยาซักผ้า การขัด การถู และการปั่น โดยตรง

คุณสมบัติที่จะทำให้ผ้าปูที่นอนมีความนุ่ม

ทนทาน ก็คือ จำนวนเส้นด้ายในการทอต่อ 1 ตารางนิ้ว (Tread Count) โดยตามหลักมาตรฐานของสิ่งทอในการนับจำนวนความหนาแน่นของเส้นด้ายนั้นจะนับจำนวนเส้นด้ายแนวนอน+จำนวนเส้นด้ายแนวตั้ง ในพื้นที่ 1 ตารางนิ้วคะ จำนวนที่มากหรือน้อยใน 1 ตารางนิ้วจะมีผลต่อราคาของผ้าปูที่นอน ยิ่งถ้ามีความหนาแน่นของเส้นด้ายมาก แสดงว่าเนื้อผ้ามีความหนาแน่นมากราคาก็จะสูงตามผ้าปูที่นอนที่ดีควรมีเส้นด้ายไม่ต่ำกว่า 350 เส้นด้ายต่อตารางนิ้ว แต่ผ้าปูที่นอนส่วนมากมักมีเส้นด้ายอยู่ที่ประมาณ 180-300 เส้นด้ายต่อตารางนิ้ว เท่านั้นเองคะ

ถึงแม้ผ้าปูที่นอนจะมีจำนวนเส้นด้ายมากเพียงใดแต่คุณภาพของเส้นด้ายไม่ดี ผ้าปูที่นอนก็จะให้ผิวสัมผัสไม่นุ่มสบาย จึงต้องนำองค์ประกอบทุกอย่างมาพิจารณาร่วมกันคะ แต่สิ่งสำคัญยิ่งไปกว่านั้นผ้าปูที่นอนจะน่าใช้ น่านอนก็ควรเป็นผ้าปูที่นอนที่สะอาด ไม่เป็นที่พักอาศัยของไรฝุ่น  นอนหลับสบายแถมยังสุขภาพดีอีกด้วย